วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

อฉริยะกับคุณต่างกันตรงไหน

มหัศจรรย์สมอง


วิทยา ศาสตร์พยายามที่จะไขปริศนาของสมองมานานหลายทศวรรษ นักเคมีและนักชีววิทยาต่างทุ่มเทความพยายามในการศึกษาการทำงานของสมอง แม้แต่นักคณิตศาสตร์ก็ยังพยายามใช้ความรู้ทางด้านตรรกของตัวเลข จำลองการทำงานของสมองที่สลับซับซ้อนออกมาเป็นแบบจำลอง โดยหวังว่าจะสามารถทำความเข้าใจความมหัศจรรย์ที่ซ่อนเร้นอยู่ในร่างกายนี้ ได้ “ใกล้หมอ” พาคุณไปท่องอาณาจักรของสมอง ทางแห่งหุบเขาวงกตที่ซับซ้อนเกินกว่าความสามารถของตัวมันเองจะเข้าใจได้


จาก ความทุ่มเทที่ให้ไป ทำให้เราทราบว่าสมองของมนุษย์แยกออกเป็น 2 ส่วน ทำหน้าที่ต่างกัน และมีศักยภาพสูงมากกว่าที่เคยคาดคิดกันไว้ ผู้ที่ไขปริศนานี้ คือนักวิทยาศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบล โรเจอร์ สเปอร์รีย์ แห่งสถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย และโรเบิร์ต ออร์นสไตน์ ไขปริศนาการทำงานของสมองได้เป็นผลสำเร็จ พวกเขาค้นพบว่าสมองทำงานผ่านคลื่นสมองและสมองทั้งสองซีกทำงานประสานกันอย่าง น่าอัศจรรย์ด้วยเครือข่ายที่สลับซับซ้อนที่เรียกว่า คอร์ปัส คอลโลซัม


สมอง ซีกซ้ายควบคุมความเป็นเหตุเป็นผลการเรียนรู้ด้านภาษา ตัวเลข วิทยาศาสตร์ ตรรกศาสตร์ การคิด การวิเคราะห์ ฯลฯ ซึ่งอาจจะรวมได้ว่าเป็นเรื่องของวิชาการ ในขณะที่สมองซีกขวาเป็นศิลปินจินตนาการ ฝันกลางวัน มองภาพตามมิติต่างๆ ฯลฯ
แต่ สมองทั้งสองซีกก็ทำงานสัมพันธ์กันอย่างยอดเยี่ยมคนที่มีแต่วิชาการ แต่ไม่มีจินตนาการ การทำความเข้าใจวิชาการต่างๆ นั้นย่อมไม่สามารถทำได้สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ เช่นเดียวกับคนที่มีแต่จินตนาการ แต่ไม่มีหลักตรรกะจินตนาการนั้นย่อมฟุ้งเฟ้อจนจับต้องไม่ได้


เมื่อ เราเริ่มทำความเข้าใจกับสมองของเรามากขึ้น ทำให้เราทราบว่าแม้ว่าเราใส่โปรแกรมการพัฒนาสมองด้านใดด้านหนึ่งลงไป สิ่งที่เกิดขึ้น คือการพัฒนาของสมองอีกด้านตามไปด้วย ศาสตราจารย์ซาอีเดล ผู้ค้นพบความมหัศจรรย์ ให้ความเห็นว่าสมองทั้งสองซีกมีความสัมพันธ์กันอย่างมาก และดูเหมือนว่าสมองแต่ละซีกจะมีความสามารถของสมองอีกซีกหนึ่งอยู่มากกว่าที่ เคยคาดหมายกันไว้ และประสิทธิภาพของสมองก็อาจกว้างไกลกว่าที่ใครๆ จะคาดคิด


หากลอง ย้อนกลับไปยังกลุ่มคนอัจฉริยะ ผู้มีความสามารถโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับข้อสันนิษฐานที่ดูเหมือนมีความขัดแย้งกันเองอยู่มาก นี้ อาจทำให้เราเข้าใจมากขึ้น


บุคคลผู้หนึ่งซึ่งโดดเด่นในฐานะ อัจฉริยะผู้มีมันสมองเป็นเลิศ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ผู้ที่เป็นนักคิดและนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งดูเหมือนว่าความเป็นอัจฉริยะของเขาจะมาจากสมองซีกซ้าย เพราะเป็นซีกแห่งวิชาการ ในขณะที่ พลาโบ ปิกาสโซ่ ศิลปินชาวสเปนผู้ยิ่งใหญ่ ก็ควรที่จะใช้ความสามารถจากสมองซีกขวา


แต่เมื่อมองย้อนกลับไป ถึงอดีตที่หล่อหลอมความเป็นเลิศของไอน์สไตน์ เราพบว่าประวัติการเรียนของเขาแย่มากในวิชาภาษาฝรั่งเศสแต่เขากลับชอบ ไวโอลิน ศิลปะ การแล่นเรือและการเล่นเกมที่ต้องใช้จินตนาการสูง สิ่งเหล่านี้อาจเกี่ยวเนื่องกับความเป็นอัจฉริยะของเขา หรือเกมจินตนาการนั่นเองที่เป็นที่มาของความรู้ความความเข้าใจทางด้านวิทยา ศาสตร์อย่างลึกซึ้ง หรือศิลปะนั้นเองที่ทำให้ไอน์สไตน์เข้าใจหลักตรรกะแห่งเคมี และฟิสิกส์ หรือความฝันเฟื่องในวันแดดจัดกลางฤดูร้อนว่าเขาสามารถเหาะเหินเดินอากาศ ขี่แสงอาทิตย์ไปไกลจนถึงสุดขอบจักรวาลและเมื่อพบว่าตัวเองกลับตกลงมาสู่พื้น ผิวของดวงอาทิตย์ เป็นความไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง นั่นเองที่ทำให้เขาเข้าใจได้ว่า จักรวาลจะต้องมีรูปทรงโค้ง และอาจเป็นสาเหตุให้เขาฝึกฝนหลักตรรกศาสตร์ เพื่อหาคำตอบของคำถามมากมายในหัว ตามธรรมชาติของคนช่างจินตนาการ เขาค้นพบความมหัศจรรย์ของตัวเลขและสมการต่างๆ ที่ซ่อนเอาความลี้ลับน่าค้นหา และเขาอาจตื่นเต้นดีใจเหมือนเด็กๆ ทุกครั้งที่เขาถอดสมการที่ยากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายเขาได้ค้นพบทฤษฎีสัมพันธภาพอันโด่งดัง นั่นย่อมเป็นผลของการทำงานที่ผสานกันอย่างดีระหว่างสมองซีกซ้ายและสมองซีก ขวา ความเป็นอัจฉริยะนั้น อาจไม่ได้อยู่ที่การทำงานของสมองซีกใดซีกหนึ่งโดดเด่น หากแต่เป็นการผสมผสานความเป็นเลิศของสมองทั้งสองเข้าด้วยกันจนสามารถเสริม ส่งกันได้อย่างดีเยี่ยม


ในทางกลับกันศิลปินผู้สร้างสรรค์งาน ศิลปะอันยอดเยี่ยมจนกลายเป็นสมบัติของโลก กลับเป็นผู้เคร่งครัดต่อทฤษฎีการผสมผสานของสีต่างๆ ศิลปินอย่าง ลีโอนาร์โด ดาวินชี่ กลับมีความสามารถโดดเด่นทั้งในเรื่องของศิลปะ กลศาสตร์ กายวิภาคศาสตร์ ฟิสิกส์ การประดิษฐ์ อุตินิยมวิทยา ธรณีวิทยา วิศวกรรมศาสตร์และวิชาการเงินเขาประสานความสามารถหลากหลายที่อยู่ในตัวเขา เข้าด้วยกัน แทนที่จะแยกออกเป็นส่วน นั่นทำให้เราเห็นว่าหากสามารถประสานการทำงานของสมองสองส่วนเข้าด้วยกัน ย่อมสามารถสร้างสรรค์สิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ได้อย่างแน่นอน





สมองของอัจฉริยะ


คุณเคยสงสัยไหมว่าในสมองของไอน์สไตน์ มีอะไรแตกต่างจากสมองของคุณ


เป็น คำถามที่หลายคนต้องการค้นคว้าหาคำตอบ สมองของอัจฉริยะมีอะไรแปลกแตกต่างกับสมองของบุคคลทั่วไป และนักวิทยาศาสตร์ก็ไม่เคยรั้งรอที่จะหาคำตอบ แม้แต่ตัวไอน์สไตน์เอง วิญญาณแห่งวิทยาศาสตร์ในร่างกายของเขายังทำให้เขาเขียนบันทึกไว้ว่า เขาหวังว่าจะมีใครบางคนนำสมองของเขาไปศึกษาหลังจากที่เขาเสียชีวิตแล้ว ปริศนาสมองของไอน์สไตน์อาจไขคำตอบของความอัจฉริยะได้ และเราอาจสามารถสร้างอัจฉริยะเช่นเขาได้หากได้คำตอบนั้นมา


นัก วิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแม็กมาสเตอร์ เมืองออนตาริโอ ประเทศแคนาดา เป็นกลุ่มคนผู้โชคดี ได้เห็นสมองอัจฉริยะของไอน์สไตน์ด้วยตัวเอง และพวกเขาได้รายงานผลการค้นพบที่น่า ตื่นเต้นไว้ในวารสารทางการแพทย์ชื่อ เดอะแลนเซ็ท โดยเป็นการศึกษาเปรียบเทียบสมองของคนฉลาดตามปกติทั่วไป จำนวน 91 ราย ในจำนวน นี้เป็นชาย 35 ราย หญิง 56 ราย นำมาเปรียบเทียบกับสมองของไอน์ไสตน์ พบว่า บริเวณส่วนล่างของสมองด้านข้างที่เรียกว่า อินเฟอร์ริเออร์ พาเรียลทอล รีเจียน ของไอน์สไตน์มีขนาดใหญ่กว่าของคนปกติถึงร้อยละ 15 สมองบริเวณดังกล่าวอยู่ระดับเดียวกับหูและสมองส่วนนี้ทำหน้าที่ในการหาเหตุ หาผลทางคณิตศาสตร์นั่นอาจเป็นการไขปริศนาสมองของไอน์สไตน์...แต่ความจริง แล้วเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น


สิ่งผิดปกติอีกสิ่งหนึ่งที่พบใน สมองของไอน์สไตน์คือ ร่องสมองของไอน์สไตน์หายไปบางส่วน ร่องสมองที่ต่อจากส่วนหลังไปยังส่วนหลังของของไอน์สไตน์ไม่มี ซึ่งในสมองของคนปกติจะมีร่องสมองที่ต่อโยงเชื่อมจากส่วนหน้าไปส่วนหลัง และนี่เองอาจเป็นกุญแจสำคัญแท้จริงที่ทำให้เขาเป็นอัจฉริยะ เพราะเส้นประสาทของไอน์สไตน์สามารถเชื่อมโยงเข้าหากันได้ง่ายกว่าคนธรรมดา โดยไม่ต้องผ่านร่องสมองนี้ ทำให้การทำงานประสานกันของสมองสองส่วนเป็นไปได้ดีมากยิ่งขึ้น


นั่น หมายความว่า พื้นฐานความฉลาดนั้นมาจากสมอง ที่กำเนิดติดตัวมาโดยธรรมชาติ แต่ก็แน่นอนว่าการศึกษาและสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยที่ทำให้สมองได้พัฒนา และเป็นโอกาสให้สมองได้แสดงศักยภาพของตัวเองออกมาได้อย่างแท้จริง


แม้ ว่าปริศนาสมองของไอน์สไตน์จะถูกค้นพบหลังจากเขาเสียชีวิตไปนานหลายปี แต่ก็สามารถไขความลับบางอย่างของการทำงานของสมอง อัจฉริยะท่านนี้จึงไม่เพียงทำคุณูปการให้กับมวลหมู่มนุษย์ขณะที่ยังมีชีวิต เท่านั้น แม้ตายแล้วสมองของเขาก็ยังเป็นสมบัติอันมีค่าและสร้างปัญญาความรู้ได้อีก


สมองกับความจำ


หน้าที่ สำคัญอันหนึ่งของสมองคือความทรงจำ ความทรงจำทำให้เราเป็นปัจเจกบุคคล และทำให้เราแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตที่มนุษย์สร้างขึ้น พวกสัตว์โคลนนิ่งที่หลายนั้น อาจมีหน้าตาเนื้อตัวเหมือนเราทุกกระเบียดนิ้ว แต่สิ่งหนึ่งที่สัตว์โคลนนิ่งไม่มีคือความทรงจำ


การทำงานของ สมองนั้นสลับซับซ้อนมากที่สุด แม้แต่เครื่องคอมพิวเตอร์ศักยภาพสูงสุดที่มนุษย์ประดิษฐ์ได้ยังไม่เท่าเทียม การทำงานของสมอง หรือบางทีหากคิดกลับไปว่า “สมอง” นั่นเองคือ คอมพิวเตอร์อัจฉริยะที่ซับซ้อนที่สุดในเวลานี้ เราพยายามทำความเข้าใจสมองมากขึ้น แต่ก็ทำได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขณะนี้มีความพยายามศึกษาความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างชีววิทยากับศาสตร์อื่น ไม่ว่าจะเป็นชีวนาโนเทคโนโลยี ชีวกลศาสตร์ที่พยายามใช้ความเข้าใจในศาสตร์ 2 ประการ ทำความเข้าใจการทำงานของสมอง อย่างไรก็ตามคาดหมายว่าต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งทศวรรษจึงจะมีความก้าว หน้ามากขึ้น


มนุษย์เข้าใจเรื่องการบันทึกภาพลงบนแผ่นฟิล์ม หรือบันทึกเสียงลงบนแถบแม่เหล็กมานานแล้ว แต่การบันทึกความจำของสมองเป็นไปด้วยกลวิธีเช่นไร ยังไม่มีใครสามารถไขปริศนานี้ได้ เราทราบเพียงว่าประสาทรับรู้ต่างๆ เป็นผู้นำสัญญาณจากประสาทสัมผัสไปสู่สมองกระบวนการดังกล่าวเต็มไปด้วยความ มหัศจรรย์ สมองมีความสามารถในการเข้ารหัส ความทรงจำต่างๆ โดยการสร้างทางเชื่อมระหว่างเซลล์ประสาทแต่ละเซลล์เข้าด้วยกัน เมื่อได้ระบบการเชื่อมต่อของความทรงจำ แต่ละความทรงจำแล้วจะเก็บไว้เป็นหมวดหมู่เรียกว่าเอ็นแกรม เอ็นแกรมนี้จะถูกนำไปเก็บไว้ตามกลีบสมอง เมื่อมีการกระตุ้นที่เหมาะสมก็เหมือนกับการไขรหัสเข้าสู่ความทรงจำนั้นๆ คนๆ นั้นก็จะระลึกได้ว่าเคยผ่านประสบการณ์เช่นนั้นมา

              กระบวนการจำ นั้นเรียกได้ว่ามีความซับซ้อนแล้ว แต่กระบวนการระลึก หรือการนำเอ็นแกรมกลับมายิ่งมีความซับซ้อนมากกว่า เราไม่สามารถรู้ได้ว่า การกระตุ้นที่เหมาะสมนั้นคืออะไร และสมองทำอย่างไรเพื่อนำความทรงจำจำนวนมากมากลับคืนมา และทำไมบางครั้งสมองก็ไม่สามารถหาเอ็นแกรมนั้นเจอ นั้นทำให้คนบางคนลืมความทรงจำบางช่วงของชีวิตไปได้เลยทีเดียว แต่บางครั้งการกระตุ้นด้วยการสะกดจิต กลับพาเขาเข้าไปยังสถานที่อันลึกลับในบางส่วนของสมองที่ตามปกติแล้วเขาไม่ สามารถหาทางต่อเชื่อมนั้นเจอ


พัฒนาการของสมอง

คุณ ทราบหรือไม่ว่าสมองมีการพัฒนาการอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง สมองเริ่มมีการพัฒนาตั้งแต่เราอยู่ในท้องแม่ โดยทุก ๆ นาทีที่เราอยู่ในครรภ์มารดาจะมีการเพิ่มขึ้นของเซลล์ระบบประสาทสมองถึง 200,000-300,000 เซลล์ จนเมื่อเราคลอดออกมา จะมีเซลล์สมองแทบทั้งหมดแล้วเมื่อเทียบกับในวัยผู้ใหญ่ อย่างไรก็ดีสมองยังคงมีการเติบโตได้อีกมากในช่วงแรกของชีวิต ประมาณกันว่าเมื่อเราอายุได้ 2-3 ขวบ สมองของเราจะมีขนาดประมาณ 80% ของผู้ใหญ่ แต่ในช่วงหลังจากนี้แม้ว่าสมองอาจจะมีการเติบโตได้อีก แต่ส่วนของสมองที่โตขึ้นนั้นหาใช่เซลล์ประสาทเป็นส่วนใหญ่ไม่ แต่กลับเป็นเนื้อเยื้อเกี่ยวพันที่เราเรียกกันว่า Glial cells ที่จะทำหน้าที่คล้ายๆ กับโครงข่ายของเซลล์สมอง ซึ่งจะมีการแบ่งตัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนเราโตเต็มวัย (ประมาณกันว่าถึงอายุ 3 ขวบ)


สมองจะมีการเพิ่มจำนวนของเซลล์สมองเก็บเต็มที่ประมาณ “หนึ่งร้อยพันล้านเซลล์” โดยสมองจะมีน้ำหนักประมาณ 1 กก. (ในขณะที่เมื่อเราโตเต็มวัยสมองจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีกเพียงประมาณ 500 กรัม)


จะเห็นได้ว่าเมื่อเราอายุได้เพียง 3 ขวบ เซลล์สมองก็มีการแบ่งตัวเพิ่มจนเกือบเต็มที่แล้ว หลังจากนี้จะมีเซลล์สมองเกิดขึ้นมาเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับวัย ผู้ใหญ่ แสดงว่าหลังจากเริ่มเข้าโรงเรียน สมองของเราก็เริ่มเข้าสู่ช่วงถดถอยอย่างช้าๆ และเริ่มเสื่อมเร็วขึ้นเมื่อเราพ้นวัยหนุ่มสาวไปแล้ว โดยหลังจากผ่านช่วงนี้ไปแล้วจะไม่มีการสร้างเซลล์สมองขึ้นมาทดแทนใหม่อีก ดังนั้นหากมีการตายของเซลล์สมองไปมากเท่าไร (เช่น อุบัติเหตุที่ทำให้สมองกระทบกระเทือนรุนแรง) สมองของเราก็จะสูญเสียความสามารถในการทำงานไปมากเท่านั้น แม้ว่าร่างกายอาจมีการซ่อมแซมส่วนที่เสียหายได้ แต่เซลล์สมองจริงๆ กลับไม่สามารถทดแทนได้
เคยมีปัญหาเรื่องความจำไหมหรือขี้ลืมจนหงุดหงิดตัว เองบ่อยๆถ้าใช่ ถึงเวลาต้องฝึกความจำเเล้ว การฝึกฝนความจำจะช่วยให้ชีวิต ง่ายขึ้นมาก และยังสนุกสนานด้วย

เอากุญแจไปวางไว้ที่ไหนนะ เพื่อนร่วมงานคนใหม่ชื่ออะไรหนอ วันนี้ต้องทำงาน อะไรบ้าง คนส่วนมากรู้ดีว่าอาการหลงๆลืมๆทำให้ชีวิตยุ่งยากบางครั้งทำให้อับ อาย และถูกหัวเราะเยาะ เมื่ออายุมากขึ้น คนเรามักกลัวว่าตัวเองจะยิ่งขี้ ลืม และกังวลใจว่าอาการหลงลืมเป็นครั้งคราวนั้น จะเป็นสัญญาณเตือนของโรคอัล ไซเมอร์(Alzhermer'disease) หรือเปล่าความสงสัยนี้ทำให้คุณผวามากขึ้นเวลาจำ ไม่ได้แม้แต่ข้อมูลง่ายๆหรือข้อมูลธรรมดา นั้นแสดงว่าคุณเริ่มแก่ตัวลงแล้ว 



สมองฝึกได้

ถ้าจู่ๆ สมองคุณเกิดไม่จดจำสิ่งที่ต้องจำขึ้นมา ไม่ต้องตกใจเพราะยอด อัจฉริยะอย่าง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์(ค.ศ.1789-1955) รู้มานานแล้วว่าสมองของ คนเรานั้นมีรูบแบการทำงานเหมือนกล้ามเนื้อทั่วไป ดังนั้นเราจึงสามารถฝึก สมองได้เหมือนกับการฝึกกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆข้อเท็จจริงนี้ได้รับการยืนยัน แล้วจากผลการวิจัยหลายครั้งตลอดช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา 



1. จิบน้ำบ่อยๆ สมองประกอบด้วยน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์
เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ
2. กินไขมันดี คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน
ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดีที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที

เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Thet a ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน)

4. ใส่ความตั้งใจ

การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ

ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอนเดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและ หวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ
6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา ฯลฯเพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอนเดอร์ฟินและโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ เมื ่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเองเป็นการลดภาระของสมอง
8. เขียนบันทึก Graceful Journal ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ
ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข ฯลฯ เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์
9. ฝึกหายใจลึกๆ
สมองใช้ออกซิเจน 20-25 เปอร์เซ็นต์ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์
บทสัมภาษณ์จาก : วนิษา เรซ